Monday, September 5, 2022

 Diary from WordPress
Stagflation

คือภาวะทางเศรษฐกิจที่มาจากการรวมกันของ Stagnation เเละ Inflation

- Stagnation คือการที่เศรษฐกิจชะลอตัวจากอัตราการว่างงานที่สูง

- Inflation คือภาวะเงินเฟ้อ เป็นมูลค่าของเงินลดลงทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นตามปกติเเล้วความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) กับอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) จะสัมพันธ์กันในลักษณะที่ตรงข้ามกัน

เงินเฟ้อสูง > อัตราว่างงานจะต่ำเงินเฟ้อต่ำ > อัตราว่างงานจะสูง

เศรษฐกิจเเย่ รายได้ลดลง อัตราการว่างงานสูง
เเต่ของเเพงขึ้น ค่าครองชีพสูง เเละเงินเฟ้อสูงขึ้น
Stagnation + Inflation เป็นสิ่งที่ขัดเเย้งกัน ไม่น่าจะเกิดขึ้น เเต่ก็เกิดขึ้นได้
ในเชิงเศรษฐศาสตร์ จะมีดัชนีที่ใช้วัดความเติบโต, ความตกต่ำของเศรษฐกิจ เช่น GDP, Unemployment Rate, Inflation

กรณีที่ 1 ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราการว่างงานมักจะสูงมาก เพราะคนไม่มีงานทำ คนไม่สามารถที่จะหารายได้ด้วยตัวเอง รายได้ก็จะลดลง Inflation Rate ก็จะต่ำมาก หรือบางทีจะถึงขั้นติดลบ เเละกลายเป็น เงินฝึด เพราะว่าคนไม่มีเงินใช้จ่าย สินค้า บริการ เเละราคาสินค้าก็จะไม่ได้ขึ้นมากนัก เป็นเรื่องปกติ
(High Unemployment Rate, Lower Inflation)
กรณีที่ 2 เศรษฐกิจร้อนเเรงจนเกินไป ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ค่อนข้างที่จะเป็นกังวล GDP เพิ่มเติบโตสูงขึ้น อัตรา Unemployment Rate ก็จะต่ำลง เพราะว่าคนมีงานทำมากขึ้น Productivity ผลผลิตทางเศรษฐกิจก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ
(Economic Growth, Low Unemployment Rate, Higher Inflation)
วิธีการเเก้ไขกรณีที่ 1
ในเชิงนโยบายทางการคลังก็อาจจะใช้เช็คเงินสดช่วยให้คนมีเงินจับจ่ายใช้สอย เพิ่มอัตราการจ้างงาน
ในเชิงนโยบายทางการเงิน ถ้าอยากให้เศรษฐกิจกลับมา ส่วนใหญ่เเล้วก็จะใช้วิธีการลดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมต่ำลง > บริษัทจะมีเเรงจูงใจในการไปกู้เงินเพื่อไปลงทุน
วิธีการเเก้ไขกรณีที่ 2
สิ่งที่ต้องทำ โดยปกติคือ เพิ่มดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนเเรงของเศรษฐกิจ ทำให้ดอกเบี้ยธนาคารมีเเนวโน้มสูงขึ้น เอกชนรู้สึกเเพงก็จะไม่อยากกู้เงิน คนใช้จ่ายน้อยลง คนนำเงินไปฝากมากขึ้น
เเต่ Stagflation
GDP หรือการเติบโตของเศรษฐกิจ มัน Stag(ตกต่ำลง) อัตราการว่างงานสูงมาก คนตกงาน รายได้คนไม่ค่อยมี เเต่ว่าอัตราเงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้นสูง
ทำให้ สินค้าเเพง มันก็เคยเป็นการซ้ำเติมประชาชน เพราะงานก็ไม่มีอยู่เเล้ว ข้าวของ กลับเเพงขึ้นเรื่อยๆ จากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
Stagflation คนคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เเต่มันก็เคยเกิดขึ้นมาเเล้ว
Stagflation ในยุค 70 สหรัฐกำลังทำสงครามเวียดนาม ก็พยายามที่จะเอาเงินไปลงทุนที่งบทางการทหารต่างๆ ก็ทำให้เศรษฐกิจเริ่มไม่ค่อยดี เริ่มตกต่ำคนเริ่มตกงานมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ปัจจัย ที่ทำให้เกิด Stagflation คือ
น้ำมัน
ตอนนั้นคนที่ยึด Supply ของทั้งโลกเอาไว้ คือกลุ่มประเทศ อาหรับ
หรือ OPEC สหรัฐยังไม่พบ Shale Oil ก็ต้องซื้อจากกลุ่ม OPEC
OPEC เลยควบคุมกลไกซื้อขายของน้ำมันที่มีอำนาจสูงมาก
[OPEC]


เริ่มเเรกนั้นมีสมาชิกทั้งหมด 5 ประเทศ
ก่อนที่จะเพิ่มมาเป็น 14 ประเทศในปัจจุบัน
OPEC มีอิทธิพลต่อตลาดน้ำมันดิบของโลกมาพอสมควร
จุดประสงค์ในการตั้ง OPEC ขึ้นมานั้น เพื่อเป็นตัวกลางประสานงานด้านนโยบาย น้ำมันระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ในการรักษาระดับราคาให้มีความยุติธรรม เเละสร้างความมั่นคงให้เเก่ประเทศ


[การเงิน Bretton Woods ]


ระบบเบรตตันวูดส์ของการจัดการทางการเงินที่จัดตั้งขึ้น
กฏสำหรับความสัมพันธ์ทางการค้าเเละการเงินในหมู่ประเทศ สหรัฐอเมริกา, เเคนาดา, ยุโรปตะวันตก, ประเทศออสเตรเลีย ญี่ปุ่น
หลังจากเบรตตัน 1944 ข้อตกลงระบบ Bretton Woods เป็นตัวอย่างเเรกของคำสั่งทางการเงินที่มีการเจรจาอย่างเต็มที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างรัฐอิสระ
คุณสมบัติหลักของระบบ Bretton Woods คือภาระหน้าที่ของเเต่ละประเทศที่จะต้องใช้ นโยบายทางการเงินที่จะรักษาอัตราเเลกเปลี่ยนภายนอก ภายใน 1% โดยผูกสกุลเงินทองเเละความสามารถของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นอกจากนี้ยังมีความจำเ็นที่จะต้องจัดการกับความขาดความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ เเละเพื่อป้องกันการลดค่าเงินในการเเข่งขันด้วย
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2514 สหรัฐได้ยุติการเเปลงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทองคำเพียงฝ่ายเดียว ทำให้ระบบ Bretton Woods สิ้นสุดลงอย่างมีประสิทธิภาพเเละทำให้ดอลลารเป็นสกุลเงินเฟียต(Fiat) ในเวลาเดียวกันสกุลเงินหลายสกุลเงิน ก็กลายเป็นสกุลเงินอิสระเช่นกัน


ต่อ Stagflation ปี 70
ที่จู่ๆ สหรัฐอเมริกาก็เลิก Bretton Woods
สหรัฐอเมริกาพิมพ์เงินออกมา โดยไม่สนอะไร (ไม่มีอะไร Backup) ก็ส่งผลกระทบกับคนที่รับเงินดอลลาร์สหรัฐในตอนนั้น
ทำให้กลุ่มประเทศ OPEC ที่รับ ดอลลาร์สหรัฐนั้นไม่พอใจ ก็เลยไม่ส่งขายคนทั้งโลก ที่ใช้น้ำมันอยู่ก็เลยเกิดเป็น Supply Shock ในปี 70 ขึ้น
[Supply Shock]


เป็นกรณีเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เช่นค่าจ้าง เเรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบ
เงินเฟ้อที่เกิดจากด้านอุปทานนี้ เราสามารถเเบ่งได้เป็น 3 ประเด็น
Without Monetary Validation
กรณีที่เกิดจากราคาต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ อุปทานรวมลดลง ในขณะที่รายได้ประชาชาติลดต่ำลงกว่าที่มีการจ้างงานเต็มที่
Monetary Validation
กรณีที่มี Monetary Validation จากรณีเเรก หากมีการขยายปริมาณเงินจากธนาคารกลาง รายได้ประชาชาติดุลยภาพเดิมกรณีนี้ระดับราคาจะสูงขึ้น
Monetary Validation of Repeated Supply Shock
กรณีนี้จะคล้ายกับ กรณีก่อนหน้า เเต่เกิดเหตุการณ์ Supply ขึ้นซ้ำๆ จึงมีการเพิ่มปริมาณเงินจากธนาคารกลางเข้าไปอีก ทำให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ


น้ำมันส่งผลกระทบต่อทุกๆ สินค้าเพราะมันคือการขนส่ง ตอนนั้นหุ้นตกมาก เกิดผลกระทบกับคนทั้งโลก
เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความขัดเเย้ง ในเชิงระบบเศรษฐศาสตร์ ในสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจไม่ค่อยดีอยู่เเล้ว ตกต่ำอยู่เเล้ว งานไม่ค่อยมีให้ทำ เพราะว่าเอาเงินไปลงกับสงความเวียดนามเป็นอย่างมาก
จู่ๆ ราคาน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น สินค้าค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น จนเกิดเป็น Stagflation
นโยบายทางการเงิน ไม่สามารถช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อหยุดความร้อนเเรงลงได้
สิ่งที่หลายๆ บริษัททำคือ ตัดค่าใช้จ่ายปลดพนักงาน คนตกงานก็เพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดเเก้ได้ยากเเละใช้เวลานาน

 Dairy from WordPress 

September 17 2020

2 เดือนไม่กินน้ำตาล

2 เดือนกินได้โดยการโดนจำกัดทรัพยากร

ผมเป็นคนที่ในชีวิตนี้ ไม่เคยวิ่งได้เกิน 10 นาทีเลย

มันเหนื่อยทรมาน เเละก็ปวดขา หายใจไม่ทันไม่ไหวเเล้ว

ใช้ชีวิตโดยการทานวันละมื้อเนื่องจากจำเป็นจะต้อง

ประหยัดทรัพยากร อาหารช่วงเเรกๆ จะเป็นข้าวต้ม กินกับโปรตีนเกษตร เเละตอนเย็นก็จะมีน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล

การเริ่มต้นวันคือ ตื่นมาอ่านหนังสือ เเล้วก็เทรด เที่ยงกินข้าว บ่ายเทรดง่วงก็งีบหลับ เย็นออกไปวิ่งก็น้ำเต้าหู้ เเล้วก็เทรด วนอยู่เเบบนั้น

การวิ่ง วิ่งวันเเรกวิ่งได้ 8 นาที เเละหลังจากนั้นวันต่อมาคือ ไม่ได้วิ่งเลย เพราะปวดขามาก

ความคิดในการวิ่งก็หายไป เเต่พอมีพลังก็พยายาพมออกไปวิ่ง เเต่มันก็วนเเบบนั้น วิ่งได้สุดเเค่ 10นาทีก็เหนื่อยเเล้ว

หลังจากคิดจริงจังว่า ปกติผมก็ว่ายน้ำได้เเบบไม่หยุด 30 นาที ได้ เต่ในการวิ่งทำไมวิ่งได้ไม่ถึง 10 นาทีก็เหนื่อยเเล้ว มันทำให้เกิดคำถามในหัวอยู่ตลอด

คำตอบเเรกที่สมองบอกกับตัวผมคือ น้ำหนักเยอะ การวิ่งจะต้องใช้น้ำหนักลงไปด้านล่างของตัว ต่างกับการว่ายน้ำ

ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่ดูดีในการเเก้ตัว เเต่ปัญหาจริงๆ มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพราะ พอมานั่งคิดดีๆ ปวดขาไม่กี่วันก็ชิน เเต่สิ่งที่ทำไม่เคยได้เลยคือการวิ่งเกิน 10 นาที

ผมก็เริ่มประเมินตัวเองจริงๆ ก็ได้พบว่า จริงๆ เเล้วผมเเค่หายใจไม่ทันตอนวิ่ง

พอหลังจากเริ่มฝึกหายใจสิ่งที่เจอเลยคือ วิ่งได้เกิน 10นาที เเถมยังไป 15 นาทีได้เลย

หลังจากนั้นการเพิ่มระยะเวลาก็ก้าวกระโดดไป 20 นาทีภายในไม่กี่วัน

ผมรู้สึกสนุกกับการวิ่งเหมือนการว่ายน้ำ มันไปเรื่อยๆ ของวัน ไม่เหมือนตอนเเรก เพียงเเค่เปลี่ยนวิธีการหายใจ

ผ่านไป 1 เดือน ก็เริ่มวิ่งได้ดีขึ้น จนถึง 30 นาที

เข้าเดือนที่สองก็เริ่มฝึกให้ไป 40 เเต่ปัญหาคือ เเอพวิ่งมันบอกท่าวิ่งผิด

ผมเลยต้องพยายามเปลี่ยนท่าวิ่งให้ถูกต้อง

โดยตอนเเรก ลดระยะก้าว เเล้วต่อมาคือ เพิ่มความเร็วรอบขา ให้สูง

ทำให้ยังคงวิ่งที่ 30 นาทีเหมือนเดิม เเต่ท่าวิ่งดีขึ้น

___________________________

น้ำตาล

ความรู้สึกของการไม่ได้กินน้ำตาลนานๆ สมองรู้สึกโล่งแปลกๆ มีสามธิมากขึ้นกับการคิด ไม่รู้ว่าเป็นผลดีจากการทำ fasting หรือการงดน้ำตาล เเต่ผลที่ได้คือดีมาก

อาหาร

ในความคิดตอนเเรกคือจะเอาเเรงไหนมาวิ่ง ข้าวก็กินเเค่นั้น เเต่ในความเป็นจริงคือ ร่างกายมันมีเเรงดึงออกมาได้ตลอด ไม่มีความรู้สึกว่าไม่มีเเรงเลย มีพลังตลอดเเม้ว่าจะโดนจำกัดอาหารที่กินเข้าไป

 Diary from WordPress

การมอง Global Macro เพื่อเลือกสินค้าที่จะเทรดด้วยระบบ Close System
Close System คืออะไร ผมจะเรียกว่า CS

CS หลักการคือการเทรดที่วางจำนวนเงินให้เต็มในตลาด รายละเอียดผมคิดว่าใน Google น่าจะมีคนเขียนเยอะมากๆ เเละละเอียดด้วยเเนะนำลองศึกษาดูครับ

มาต่อการเลือกสินค้าเพื่อที่จะลงทุนด้วย CS

การมอง macro จะเเยกกับการมองหาสินค้าเพื่อ trading เอา volatility เพราะว่าการที่ macro ถูกก็ไม่ได้หมายความว่า volatility จะเยอะนั้นก็เป็นเหตุให้หลายคนเลือกสินค้าที่มีค่า volatility เยอะในการทำ cs ซึ่งก็จะทำให้เราทำรอบได้เยอะ

ส่วนข้อดีของการใช้ macro มาทำ CS คือ เราจะรู้สึกอุ่นใจเพราะการบ้านที่เราทำโดยการหาข้อมูลต่างๆ จะมาคอยซัพพอร์ทความเชื่อมั่นในสินค้าตัวนั้น ทำให้เราได้เข้าใจสินค้าตัวนั้นเเละอยู่กับมันอีกด้วย

สมมุติเทรดค่าเงิน ก็จะมองว่าประเทศคือบริษัท สิ่งที่จะต้องดูหลักๆ ก็คือ

-ยอดขาย

-รายรับมาจากไหน

-รายจ่าย

ซึ่งยอดขายก็ดูจากสินค้าหรือ Product ของประเทศนั้น เช่น US Product จะเป็นสินค้าเทคโนโลยี

รายรับมาจากไหน รายรับก็จะมาจากการขายสินค้าส่วนหนึ่ง เเต่นั้นไม่ใช่รายรับทั้งหมด รายรับเราต้องดูอีกด้วยว่า มาจากไหนบ้าง

รายจ่าย ภาระหนี้สิน สิ่งที่ทางประเทศนั้นต้องจ่าย

เเต่ละประเทศก็จะมีปัญหาไม่เหมือนกัน เช่น ญี่ปุ่นจะมีปัญหาคือเงินฝืด คนในประเทศไม่ค่อยออกมาจับจ่ายใช้สรอยกันเท่าไหร่

 

 

 

 Diary from WordPress

The power of out put

สมมุติว่า มีคนสองคน

คนเเรก อ่านหนังสือเดือนละ 3 เล่ม

กับอีกคนอ่านหนังสือเดือนละ 1 เล่ม เเต่เขียนออกมา 1 เล่ม

ตามหนังสือ The power of out put กล่าวคือ คนที่อ่านหนังสือ คือการทำ input เข้าสมองตัวเอง เราเข้าใจเองหลังจากนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเราก็ได้เเค่อยู่กับความคิด เเต่ถ้าเราทำ อะไรที่เป็น output ออกไปเช่นการเขียนบทความ การบอกต่อ มันคือสิ่งที่เราทำให้โลกเปลี่ยนไป

เเละยังทำให้เราเข้าใจหนังสือที่อ่านมากยิ่งขึ้นด้วย

หนังสือ The power of out put ได้เเนะนำว่าการทำ output เป็นสิ่งที่ควรทำ

 

 

 Diary from WordPress 

ผม เเละอาจจะหลายๆ ท่านก็เช่นกัน

ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนที่เขียนเก่งเเละการอธิบายของผมก็ไม่ได้ดี

เเต่จากการอ่านหนังสือ The power of out put ก็ได้อธิบายว่า หลักการเขียนรีวิวไม่ว่าจะหนังสือ หรือหนังภาพยนต์ก็สามารถช่วยให้เราฝึกการเขียนได้ ทั้งหนังสือยังได้บอก วิธีการหลักการเขียนรีวิวคือ ตัวเราตอนเเรกก่อนที่จะอ่าน หนังสือให้อะไร เเละสุดท้ายสิ่งที่เราได้จากหนังสือ

เเละพอได้อ่านสิ่งที่ผมตัดสินใจพยายามทำคือการ ฝึกเขียนออกมาพยายามทำทุกวันตามที่หนังสือเเนะนำ

 

September 15 2020

 Diary from WordPres

03

 

การอธิบาย

วิธีที่จะทำให้คุณอธิบายได้เก่งขี้น

  1. พูดเสียงดังฟังชัด ส่วนมากเเล้วคนที่อธิบายไม่เก่งจะเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งต่อให้อธิบายได้ถูกต้องหมด เเต่ผู้ฟังเองจะเกิดความสงสัยจากน้ำเสียงของเราที่พูดออกมาเเบบพึมพำเสียงเบา ดังนั้นหลักการคือต้องใส่ใจถึงการพูดด้วย
  2. เริ่มพูดจากประเด็นสำคัญ คือให้พูดข้อสรุปก่อน เเล้วตามด้วยเหตุผลจะทำให้เรื่องราวที่พูดน่าสนใจเเล้วฟังมีเหตุผล
  3. พูดให้สั้นเเละกระชับ ส่วนมากจะคิดว่าพูดเยอะจะทำให้คนเข้าใจ เเต่กลับกันเลยยิ่งพูดเยอะๆ ยิ่งจะทำให้คนฟังเกิดจับประเด็นไม่ได้เเละสับสนมากกว่าการพูดสั้นๆ ให้ได้ใจความ
  4. ยกตัวอย่างประกอบ การยกตัวอย่างประกอบจะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพมากยิ่งขึ้น
  5. ใช้ข้อมูลอ้างอิง อ้างข้อมูลจากเเหล่งน่าเชื่อถือให้มากขึ้น เช่น จากการวิจัยมหาวิทยาลัย …. พบว่า เเต่การหาข้อมูลจะต้องใช้เวลาเตรียมข้อมูลด้วย
  6. ใช้ตัวเลขอ้างอิง เเทนที่จะพูดว่า ส่วนมากเเล้ว ให้พูดว่า 79% เเทน จะได้ผลเเละคนฟังจะจำได้ดีมากกว่าเเละดูมีความน่าเชื่อถือ

 This diary from WordPress

I need to move it to here too.

 02

การเเนะนำตัว

เวลาเราเข้าร่วมงานอะไรเป็นครั้งเเรก คนมักพูดกับเราว่า “ช่วยเเนะนำตัวด้วยครับ”

หลายๆ คนมีปัญหาเเน่ ตื่นเต้นตกใจไม่รู้จะเเนะนำตัวอย่างไร

การเเนะนำตัวเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย ทำไมเราไม่ลองเวลาสักนิดหน่อยเเล้วท่องจำมันเกิดเวลาที่จะต้องเเนะนำตัวเเบบกระทันหันเราสามารถพูดมันออกมาได้เลย การเเนะนำตัวจะมีเเบบนั้น กับเเบบยาว เเบบสั้นจะอยู่ที่ 30 วินาที เเละเเบบยาวจะอยู่ที่ 60 วินาที

เเบบสั้น 30 วินาที จะต้องเขียนประมาณ 200 ตัวอักษร เเน่นอน 60 วินาทีก็ได้ประมาณ 400 ตัวอักษร

เรามาเริ่มดูประเด็นกันดีกว่า ว่าเราควรจะเอาประเด็นไหนมาเเนะนำตัวบ้าง

1 พูดให้ทุกคนเข้าใจ คือการไม่ใช้ศัพท์เฉพาะทาง เช่น ผมเป็น Developer Back-End

เเน่นอนถ้าพูดไปเเบบนี้หลายๆ คนอาจจะงงกัน ดังนั้นควรเลี่ยงการใช้ศัพท์เฉพาะทาง

2 พูดประเด็นที่เเตกต่างจากคนอื่น หากเเนะนำไป เเต่คนจำไม่ได้นั้นก็ไร้ความหมาย

3 พูดถึงตัวเลข การใช้ตัวเลขมาจะช่วยให้พูดฟังสามารถจดจำได้มากกว่า เเละรู้สึกจับต้องได้

เช่นการบอกว่า “ผมชอบอ่านหนังสือ เเละอ่านหนังสือเดือนละ 20 เล่ม”

จะดีกว่าการที่เราพูดเเค่ว่า

“ผมชอบอ่านหนังสือ เเละอ่านหนังสือเยอะมาก”

สองอย่างคำพูดนี้จะเห็นความเเตกต่างกันเลย เพราะคนจะไม่รู้ว่า เยอะมาก คือเยอะเเค่ไหน เท่าไหร่ เเละจะเป็นการจดจำอยากอีีกด้วย

4 พูดถึงวิสัยทัศน์ คือเป้าหมายสิ่งที่เราอยากทำ จะทำให้คนฟังไปตามเราได้มากขึ้นเช่น “ผมเป็นนักเขียน เเละผมเชื่อว่า การเขียนหนังสือออกมาให้ดีนั้นจะต้องใส่จิตใจ เเละวิญญาณ ลงไปในการเขียนด้วย”

5 ใส่ใจถึงการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะพูดอะไรออกไป เเต่สำคัญคือจะพูดอย่างไรมากกว่า

6 ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป ทำในสิ่งที่เราอยากให้เป็น คืออยากให้คนอื่นมองเราอย่างไรเราก็ต้องคำนึงถึงตรงนั้น

ขอบคุณหนังสือ The Power of Out Put

 

 This diary from WordPress

I need to move it to here too.

01

_________________

หลักการตั้งคำถาม

ทุกท่านหลายๆ ครั้งอาจเคยผ่านเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นตั้งเเต่ในห้องเรียน จนถึงการประชุมในที่ทำงาน

ยังคงเป็นเรื่องอึดอัดใจหลายๆ คนเวลาตอนที่ผู้บรรยาย หรือผู้พูดได้จบด้วยการว่า

“มีใครมีคำถามอะไรไหม”

เราลองจินตนาการถึงห้องที่เงียบ ได้ยินเสียงนกร้องข้างนอกหน้าต่างเบาๆ พร้อมกันเสียงลมพัด

เเละบรรยากาศที่ ไม่มีใครถามอะไร อาจจะเพราะ ไม่กล้าถาม หรือไม่มีคำถามจริง

การที่เราฟัง มันเเทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจทั้งหมด จริงๆ เเล้วมันมีคำถาม

อยุ่เเล้วเเต่เราเพียงเเค่คิดไม่ทันว่าเราไม่เข้าใจตรงไหน จนกว่าจะได้ลองคิดตาม

เเล้วทีนี้ หลักการเเก้ปัญหาละ ถ้าเราอยากจะเป็นคนที่มีคนถาม

การถามคำถามไม่ได้เป็นการ สร้างความลำบากใจให้กับผู้ถาม กลับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะผู้พูดก็อยากจะได้ feedback กับมาจากผู้ฟังนั้นเเหละ

เทคนิคการตั้งคำถามที่เหมาะสม จากหนังสือ Output

  1. เราจะต้องตั้งคำถามระหว่างที่เรากำลังฟัง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าผู้ถามจะถามเมื่อไหร่ เป็นสิ่งทีต้องฝึกฝน การตั้งคำถามระหว่างที่เรากำลังฟังยังช่วยให้สมองเราจดจ่อกับการฟังมากขึ้นอีกด้วย
  2. ตั้งคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายดีใจ คือการถามสิ่งที่ผู้พูดมีเเนวโน้มที่จะอยากพูด หรือส่วนที่พูดอาจจะยังไม่ละเอียดพอ การตั้งคำถามเเบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีใจ
  3. ตั้งคำถามที่ทำให้ผู้ที่รับฟังพร้อมเราดีใจ เวลาการฟังส่วนมากผู้ฟังที่นั่งฟัง เรียน หรือประชุมพร้อมกับเรานั้น ก็อยากรู้เรื่องที่เราถามเหมือนกัน พอเวลาเราถามไป คนที่เป็นผู้ร่วมการฟังกับเราก็จะรู้สึกขอบคุณ ที่เราถาม
  4. ตั้งคำถามที่ช่วยให้การถกปัญหามีความเข้มขึ้น คำถามมีอยู่ง 2 ประเภทคือ คำถามนอกประเด็น กับคำถามที่ทำให้ปัญหามีความเข้มข้นขึ้น เราต้องพยายามตั้งคำถามให้ไปเเนวทางเดียวกับเนื้อหาที่พูด เพื่อที่จะได้ไม่ออกนอกประเด็น

จงคิดไว้เสมอเวลาเราฟัง ไม่ว่าจะเรียน สัมนา ประชุม ให้คิดว่าตัวเราเองเป็นนักข่าวหัวเห็ด

ขอบคุณหนังสือ The power of Out Put


 

 

Be turtle

 

this my portfolio start 2019 now it still can generate cash flow even it very small,

I start with 500usd, take small profit take small step trading everyday not skip even single day to trade 

what I want is I can trade everyday no matter what profit look large or small, trade is like a game.

I addict to trading game small 0.01$ is sweet and I love it, what is this system they called grid trading

it has advantage and disadvantage also no holy grail in this world.

 

advantage

- easy setup no need to predict the market 

- everything has come to your plan (you need to plan and visualize what can happen to your strategy)

- it like a coin generator

 

disadvantage

- many people still care about draw down (you don't need to care about that, why? when you know your strategy max draw down you know it never go lower 90% why you need to care about it, you still can make money from you strategy, your portfolio never go wipe out with your calculate if you trading what in plan your trading)

- it give a low profit, yes maybe low vs very risky trading system that give huge profit but cannot give your life a freedom

- it easy to say not care about draw down you know, it still hard to feel you not in pain if you not trading this system long enough.

- the broker risk, we don't know the broker we trade is last long.

 

I promise I will trade this portfolio over 10 years. 

Imagine this is your money that save for retire. (1-10 million $) 


https://www.myfxbook.com/members/adeptvoneinzbern/lastest/9342218

 Since long time ago I don't understand why my idol (who I follow) , always told there is not important to predict the market, you can make money without predict the market, when you know volatility you can made huge money from it. He teach about

Yes I don't understand how I get advantage of knowing the price is going to go up or down like crazy.

Now what I understand is volatility is easier to predict than price and there is derivative option we can get advantage of it.

I will going to write what I understand about option trading here soon.